
"วันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่เด็ก ๆ จะได้เห็น และอย่าฟังคนที่บอกว่าคุณทำตามที่คุณฝันไม่ได้ ฝันกลายเป็นจริงได้ คุณต้องพร้อมไล่ล่ามัน
และอย่ายอมแพ้"นี่คือสิ่งที่ ลูอิส แฮมิลตัน นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ชาวอังกฤษ กล่าวหลังจากที่เขาสามารถทำสถิติแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 7
ในการแข่งที่ประเทศตุรกี เขาพูดถึงเรื่อง "เด็ก ๆ" และ "โอกาส" มากกว่าเรื่องไหน เพราะมันคือสิ่งที่เขาจำฝังใจเสมอมา นี่คือเรื่องราวใน
วันที่เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานและพ่อแม่แยกทางกันกระโจนเข้าสู่กีฬาของคนรวยอย่าง F1 ก่อนที่เขาเข้าใกล้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ตลอดกาล ณ เวลานี้
เกิดอะไรขึ้นกับ ลูอิส แฮมิลตัน จากวันนั้นถึงวันนี้.. ติดตามได้ที่นี่

"สวัสดีครับผมชื่อ ลูอิส แฮมิลตัน ผมเป็นแชมป์ประเทศอังกฤษ และผมอยากบอกคุณเอาไว้ว่าวันหนึ่งผมจะเป็นนักแข่ง F1 ของทีมคุณให้ดู"
นี่คือสิ่งที่ ลูอิส พูดกับ รอน เดนนิส บิ๊กบอสของทีมรถแข่ง F1 นาม "แม็คลาเรน" ขณะที่ไปขอลายเซ็นจะด้วยความห้าวหรืออะไรก็แล้วแต่
แต่นั่นคือการประกาศตัวตนที่เข้าเป้าและเห็นผล รอน เดนนิส สนใจเด็กผิวดำคนนี้ขึ้นมาจนถึงขั้นมอบเบอร์โทรศัพท์ให้และทิ้งท้ายว่า
"อีก 9 ปีจากนี้เธอโทรมาหาฉันได้เลย แล้วฉันจะจัดการเรื่องยุ่งยากทั้งหมดให้" ประตูสู่กีฬาคนรวยของ ลูอิส แฮมิลตัน ได้เปิดกว้างขึ้นมา
อีกหน่อยแล้ว..
ตอบแทนความตั้งใจ
ไม่ว่าจะเกิดมาร่ำรวย ปานกลาง หรือยากจนนั้น มีสิ่งหนึ่งที่เราสามารถกำหนดได้เองโดยไม่เกี่ยวกับฐานะ เพราะมันอยู่ในตัวของเราทุกคน
สิ่งนั้นคือความมุ่งมั่น ถ้ารักในอะไรสักอย่าง ก็จงทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อมัน และมันมีวลีที่ว่า "Do It Or Die" ที่หมายความว่า "ลงมือทำหรือ
ไม่ก็ไปตายซะ" อาจดูเป็นถ้อยคำที่ออกจะโลกสวยไปสักหน่อย เพราะชีวิตคนเรานั้นมีข้อจำกัดแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามคำถามอยู่ที่ว่า
"คุณได้ลองพยายามแล้วหรือยัง" นี่คือประโยคที่ดูจะ
เหมาะสมและเข้ากับสิ่งที่ แฮมิลตัน เจอจากนี้

"ลองมองไปดูคนที่ประสบความสำเร็จบนโลกนี้สิ พวกเขาทั้งกดดันและผลักดันตัวเองทั้งนั้น ผมจะเปรียบเทียบกับเพชรก็แล้วกัน กว่า
จะมาเป็นเพชรที่มีค่านั้นมันต้องผ่านอะไรเยอะ ทั้งการโดนทุบตีและรมด้วยความร้อนจากไฟใช่มั้ย ?" นี่คือสิ่งที่เขาว่าไว้ในภายหลัง
และมันบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขาผ่านมาได้ดีเลยทีเดียว
เว็บพนันออนไลน์ ที่ดีที่สุด [pr]
หลังตั้งธงแน่วแน่ แฮมิลตัน ก็ขอย้ายจากการอยู่กับแม่ เพื่อมาอยู่กับพ่อที่พร้อมสนับสนุนและให้คำปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ความฝันการเป็นนักแข่ง F1 ของเขา ตอนอายุ 12 ปี และคุณแม่ของเขาก็เต็มใจมากกับก้าวสำคัญครั้งนี้
"โทนี่ อยากเป็นใครสักคนและเขาก็ทำได้สำเร็จ ฉันมองไม่เห็นตัวเองในโลกแห่งการแข่งขันที่เร่งรีบและเข้มข้นเลย อย่างไรก็ตามฉัน
ไม่ได้คิดจะหยุดเขา และเพื่อให้แน่ใจว่า ลูอิส จะเป็นในสิ่งที่เขาต้องการได้ เขาต้องไปอยู่กับพ่อ ... ถ้าไม่มีพ่อของเขา สิ่งต่าง ๆ ที่
ลูอิส ทำจะไม่มีทางออกมาเป็นแบบนี้แน่ ๆ" แม่ของ ลูอิส แฮมิลตัน ว่าไว้ในวันที่ลูกชายพร้อมเข้าโหมดฝึกโหดเพื่อเป็นมืออาชีพเต็มตัว
แอนโธนี่ พาลูกชายไปแข่งทุกสนามด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่ เขาพร้อมเดิมพันกับ ลูอิส เพราะได้เห็นความตั้งใจทั้งหมดที่มี หลังจาก
พยายามทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ในปี 1998 หรือ 2 ปีนับตั้งแต่ที่ ลูอิส ลั่นวาจาไว้กับ รอน เดนนิส ทีม แม็คลาเรน ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ
ลูอิส แฮมิลตัน เข้ามาเพื่อเป็นนักแข่งในโปรแกรมพัฒนาของสังกัด
นี่คือก้าวแรกของการเป็นมืออาชีพโดยแท้จริง เพราะการเซ็นสัญญาไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้กลายเป็นนักแข่งรถ F1 ในทันที คุณจะ
ต้องฝึกซ้อมตามโปรแกรมของทีม ค่อย ๆ ขับรถที่ขยับความแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือมีเด็กอีกหลายคนซึ่งได้สัญญาแบบเดียว
กับที่เขาได้ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นทีมเดียวกัน ทว่าความหมายอีกอย่างคือการ "แพ้คัดออก" ก็คงไม่ผิดนัก 1 ในนักแข่งตัวน้อยหลายคนจะสมหวัง
และที่เหลือจะต้องออกจากทีมไปในอีกไม่กี่ปีหากพวกเขาไม่มีมาตรฐานที่ดีพอ
แม้จะดูโหดร้ายแต่ทีม F1 ก็เหมือนบริษัทระดับโลกหรือทีมอคาเดมีกีฬาทั่วไป เพราะเมื่อพวกเขาลงทุนแล้ว พวกเขาก็ต้องการผลตอบแทน
อะไรที่ไม่ทำเงินก็ต้องโดนตัดทิ้งไป และการวัดว่าดีไม่ดีที่ง่ายที่สุดคือ "ผลการแข่งขัน" เท่านั้น ...

อย่างไรก็ตาม สำหรับ ลูอิส แฮมิลตัน นี่คือการต่อลมหายใจสำหรับความฝันของเขาอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากเขายังไม่ได้รับการสนับสนุน
จากทีมใด ๆ เงินที่พ่อของเขาหามาได้จะต้องค่อย ๆ หมดลงภายในเร็ววันแน่นอนหากเวลายังล่วงผ่านไป แม้สัญญาฉบับนี้จะไม่ได้การันตีอะไร
แต่นี่คือความสำเร็จของความพยายายามของสองพ่อลูกโดยแท้จริง
"ทุกอย่างยังชัดเจนในใจเสมอเวลาที่ผมนั่งอยู่ในรถ ผมไม่เคยลืมเลยว่าครอบครัวของผมต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง และพยายามมากแค่ไหน
ในการที่จะทำให้ ผมได้รับโอกาสแบบที่ผมได้รับในทุกวันนี้" แฮมิลตัน ว่าไว้เช่นนั้น

"ความกระหายที่ผมมีมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ในวันที่คุณครูบอกว่าไม่มีวันที่ผมจะมีค่าอะไร เวลาที่พ่อของนักขับคนอื่น ๆ พูดว่าไม่มีทางที่ผม
จะเป็นอะไรได้เวลาที่เด็กคนอื่น ๆ โห่ฮาในสนามแข่งใส่ผมและครอบครัว สิ่งเหล่านี้นี่แหละคือที่มาของพลังที่ผมใช้ในการแข่งขัน" นี่คือคำพูด
ของเขาในช่วงระหว่างปี 2018 หรือตอนที่เขายังเป็นแชมป์โลก 4 สมัย ณ ตอนนั้น
UFABET [pr]

การเป็นที่ 1 ของโลกไม่มีที่ว่างให้คำว่าข้ออ้าง และวันนี้ ลูอิส แฮมิลตัน เด็กผิวดำจากครอบครัวธรรมดาได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการ F1
เหลือบันไดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาจะถูกเรียกว่า G.O.A.T. (Greatest of All Time) หรือยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล หากว่าเขาสามารถ
คว้าแชมป์โลกได้อีก 1 สมัย เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่แน่ ๆ เขาก็เข้าใกล้มันมากสุด ๆ จนเกินกว่าที่จะผ่อนคันเร่งแล้วในเวลานี้
"ถ้าคุณต้องการเป็นที่ 1 ของโลก เป็นคนที่เก่งที่สุดในด้านใด ๆ คุณไม่มีทางหยุดพัฒนาได้เลยจริง ๆ มีหลายครั้งที่ผมคิดว่าผมคงต้องให้เวลา
ตัวเองพักผ่อนสักปี แต่รู้อะไรมั้ย ผมรู้อยู่แก่ใจเลยว่าถ้าผมทำแบบนั้น มันไม่มีทางที่ผมจะกลับมาและยังสามารถเป็นที่ 1 ได้อยู่อีก ความกดดัน
คือแรงผลักดันที่ทำให้ผมต้องเดินต่อไป" ลูอิส แฮมิลตัน กล่าวทิ้งท้าย